简体中文
繁體中文
English
Pусский
日本語
ภาษาไทย
Tiếng Việt
Bahasa Indonesia
Español
हिन्दी
Filippiiniläinen
Français
Deutsch
Português
Türkçe
한국어
العربية
บทคัดย่อ:แม้ว่า Bitcoin และ Ethereum จะใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนและมีแนวคิดแบบกระจายศูนย์เหมือนกัน แต่พวกมันถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป้าหมายที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง Bitcoin ถูกออกแบบมาให้เป็นทางเลือกแทนเงินสดหรือทองคำในโลกดิจิทัล มันมีโครงสร้างที่เรียบง่ายและมุ่งเน้นการเป็นแหล่งเก็บมูลค่า ในทางกลับกัน Ethereum เป็นแพลตฟอร์มที่มีความยืดหยุ่นสูง ใช้สำหรับพัฒนาแอปพลิเคชัน เช่น DeFi (การเงินแบบกระจายศูนย์), NFT (สินทรัพย์ดิจิทัลที่ไม่ซ้ำกัน) และการใช้งานอื่น ๆ ในโลก Web3 การที่ Ethereum สามารถรองรับการเขียนโค้ดในธุรกรรมได้ ทำให้มันกลายเป็น "บล็อกเชนสำหรับนักพัฒนา" และมีความเร็วในการทำธุรกรรมที่เหนือกว่า
ถ้าพูดถึงโลกคริปโต คงไม่มีใครไม่รู้จัก Bitcoin (BTC) และ Ethereum (ETH) สองเหรียญที่เป็นเหมือนเสาหลักของวงการ ทั้งคู่ได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม แต่สำหรับนักเทรดที่อยากเลือกเหรียญเพื่อการลงทุนหรือใช้งาน อาจมีคำถามคาใจว่า Bitcoin และ Ethereum แตกต่างกันอย่างไร? วันนี้แอดเหยี่ยวจะพาทุกคนมาทำความรู้จักทั้งสองเหรียญนี้แบบละเอียดยิบ บอกเลยว่าจบโพสต์นี้ คุณจะเข้าใจมากขึ้นว่าทำไมทั้งสองถึงครองใจนักเทรดทั่วโลก
Bitcoin: ผู้บุกเบิกโลกคริปโต
ย้อนกลับไปในปี 2009 Bitcoin ถือกำเนิดขึ้นจากไอเดียสุดล้ำในไวท์เปเปอร์ของบุคคลลึกลับที่ใช้ชื่อว่า Satoshi Nakamoto เป้าหมายของ Bitcoin คือการสร้าง “ทองคำดิจิทัล” ที่สามารถใช้แทนเงินสดหรือเงินตราดั้งเดิม (Fiat Currency) ได้โดยไม่ต้องพึ่งธนาคารหรือหน่วยงานกลาง Bitcoin ทำงานบนเครือข่ายแบบกระจายศูนย์ (Decentralized) โดยใช้ระบบ Proof of Work (PoW) ซึ่งให้ผู้ขุด (Miners) แข่งขันกันแก้โจทย์ทางคณิตศาสตร์เพื่อยืนยันและบันทึกธุรกรรมลงบนบล็อกเชน
ความสำเร็จของ Bitcoin ไม่ได้เกิดขึ้นแค่เพราะมันเป็นเหรียญแรก แต่ยังมาจากความเรียบง่ายของแนวคิดและความน่าเชื่อถือที่มันมอบให้ Bitcoin ถูกมองว่าเป็นแหล่งเก็บมูลค่า (Store of Value) คล้ายทองคำในโลกแห่งความจริง หลายคนลงทุนใน Bitcoin ด้วยมุมมองระยะยาว เพราะมันถูกจำกัดจำนวนไว้ที่ 21 ล้านเหรียญ ทำให้เกิดความหายาก (Scarcity) ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันมูลค่า
Ethereum: ผู้ท้าชิงที่ล้ำกว่าแค่สกุลเงินดิจิทัล
ในปี 2015 Vitalik Buterin และทีมงานเปิดตัว Ethereum ด้วยแนวคิดที่ก้าวล้ำกว่า Bitcoin Ethereum ไม่ได้เป็นเพียงแค่สกุลเงินดิจิทัล แต่ยังเป็นแพลตฟอร์มสำหรับสร้างแอปพลิเคชันที่ไร้ตัวกลาง หรือที่เรียกว่า Decentralized Applications (dApps) จุดเด่นของ Ethereum คือระบบ Smart Contracts หรือสัญญาอัจฉริยะ ที่ช่วยให้การทำธุรกรรมเกิดขึ้นได้โดยไม่ต้องใช้บุคคลที่สาม
นอกจากนี้ Ethereum ยังมาพร้อมกับภาษาการเขียนโปรแกรมของตัวเอง และสิ่งที่ทำให้มันโดดเด่นที่สุดคือศักยภาพในการสนับสนุนการพัฒนา Web3 หรืออินเทอร์เน็ตแห่งอนาคตที่เน้นการกระจายศูนย์ เพื่อสร้างระบบที่ผู้ใช้งานควบคุมข้อมูลของตัวเองได้มากขึ้น
ในปี 2022 Ethereum ได้เปลี่ยนกลไกฉันทามติจาก Proof of Work มาเป็น Proof of Stake (PoS) ซึ่งใช้การวางเดิมพันเหรียญ (Staking) แทนการขุด ทำให้ประหยัดพลังงานมากขึ้นและยกระดับความปลอดภัย
ความแตกต่างระหว่าง Bitcoin และ Ethereum
แม้ว่า Bitcoin และ Ethereum จะใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนและมีแนวคิดแบบกระจายศูนย์เหมือนกัน แต่พวกมันถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป้าหมายที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง Bitcoin ถูกออกแบบมาให้เป็นทางเลือกแทนเงินสดหรือทองคำในโลกดิจิทัล มันมีโครงสร้างที่เรียบง่ายและมุ่งเน้นการเป็นแหล่งเก็บมูลค่า
ในทางกลับกัน Ethereum เป็นแพลตฟอร์มที่มีความยืดหยุ่นสูง ใช้สำหรับพัฒนาแอปพลิเคชัน เช่น DeFi (การเงินแบบกระจายศูนย์), NFT (สินทรัพย์ดิจิทัลที่ไม่ซ้ำกัน) และการใช้งานอื่น ๆ ในโลก Web3 การที่ Ethereum สามารถรองรับการเขียนโค้ดในธุรกรรมได้ ทำให้มันกลายเป็น “บล็อกเชนสำหรับนักพัฒนา” และมีความเร็วในการทำธุรกรรมที่เหนือกว่า
ควรเลือกลงทุนในเหรียญไหน?
นี่อาจเป็นคำถามโลกแตกของนักเทรดสายคริปโต หากคุณต้องการเก็บมูลค่าในระยะยาวและชื่นชอบแนวคิดความเรียบง่าย Bitcoin คือคำตอบที่เหมาะสม แต่ถ้าคุณสนใจเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่มีการใช้งานที่หลากหลาย และมองหาโอกาสเติบโตในพื้นที่อย่าง DeFi หรือ NFT Ethereum อาจเหมาะกับพอร์ตของคุณมากกว่า
สรุป: ใครคือเจ้าตลาดในอนาคต?
คำตอบนี้ยังไม่มีใครรู้ได้แน่นอน ทั้ง Bitcoin และ Ethereum ต่างก็มีบทบาทเฉพาะตัวและตอบโจทย์นักลงทุนในแบบที่แตกต่างกัน สิ่งสำคัญคือการศึกษาและทำความเข้าใจในสิ่งที่คุณลงทุน เพราะการเลือกเหรียญที่ใช่สำหรับคุณ อาจเปลี่ยนแปลงอนาคตการลงทุนของคุณได้
แอดเหยี่ยว หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้นักเทรดทุกคนเข้าใจ Bitcoin และ Ethereum มากขึ้น ถ้าถูกใจอย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ ได้อ่านกันด้วยนะครับ
ขอบคุณข้อมูลจาก investopedia
อ่านข่าวสาร Forex ทั่วโลกเพิ่มเติมคลิกเลย :https://www.wikifx.com/th/original.html?source=tso4
คุณสามารถตรวจสอบใบอนุญาตโบรกเกอร์ Forex และอ่านรีวิวข้อมูลต่าง ๆ ได้ง่าย ๆ ผ่านแอป WikiFX เพียงแค่ไปค้นหาชื่อก็เจอข้อมูล ใครที่อยากได้ความรู้ เทคนิค กลยุทธ์การเทรด หรือการวิเคราะห์แนวโน้มตลาด ก็สามารถเข้ามาอ่านได้ อีกทั้งยังมีบริการ EA VPS บนแอป WikiFX อีกด้วย แอปเดียวที่จบครบเรื่อง Forex ดาวน์โหลดฟรี โหลดเลยตอนนี้จะพลาดได้ไง!
ข้อจำกัดความรับผิดชอบ:
มุมมองในบทความนี้แสดงถึงมุมมองส่วนตัวของผู้เขียนเท่านั้นและไม่ถือเป็นคำแนะนำในการลงทุน สำหรับแพลตฟอร์มนี้ไม่รับประกันความถูกต้องครบถ้วนและทันเวลาของข้อมูลบทความ และไม่รับผิดชอบต่อการสูญเสียใด ๆ ที่เกิดจากการใช้ข้อมูลในบทความ
การใช้ Sentiment Analysis เป็นการเทรดที่มีความทันสมัยและเต็มไปด้วยศักยภาพในการทำกำไรจากข้อมูลที่อาจมองข้ามได้ในตลาดดั้งเดิม ด้วยความสามารถในการวิเคราะห์ความคิดเห็นและความรู้สึกของนักลงทุนในช่วงเวลาต่างๆ Sentiment Analysis ช่วยให้เทรดเดอร์สามารถจับจังหวะการเคลื่อนไหวของตลาดและทำกำไรจากการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ในตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ความโลภอาจเป็นสิ่งที่ผลักดันให้คุณไปสู่การทำกำไรที่สูงขึ้น แต่ในทางกลับกันมันก็สามารถทำให้คุณหลุดออกจากเส้นทางการเทรดที่มีระเบียบได้อย่างง่ายดาย การยอมรับความเสี่ยง การตั้งขีดจำกัดในการเทรด และการรักษาวินัยในตัวเองจะช่วยให้คุณหลีกเลี่ยงปัญหาที่เกิดจากความโลภ และสามารถเทรดได้อย่างมีประสิทธิภาพในระยะยาว
เหตุการณ์สำคัญทางเศรษฐกิจ
ความมั่นใจเป็นคุณสมบัติที่ดีสำหรับนักเทรด แต่ความมั่นใจเกินไปอาจเป็นดาบสองคมที่ทำให้คุณพลาดโอกาสในการทำกำไร และอาจทำให้คุณเสี่ยงต่อการขาดทุนที่ไม่จำเป็น ดังนั้น การรักษาความมั่นใจในตัวเองในระดับที่พอเหมาะ พร้อมกับการยอมรับความเสี่ยงและการปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ จะช่วยให้คุณประสบความสำเร็จในตลาดได้อย่างยั่งยืน
IC Markets Global
FBS
Tickmill
Neex
VT Markets
ATFX
IC Markets Global
FBS
Tickmill
Neex
VT Markets
ATFX
IC Markets Global
FBS
Tickmill
Neex
VT Markets
ATFX
IC Markets Global
FBS
Tickmill
Neex
VT Markets
ATFX